โคลงโลกนิติ
ประวัติความเป็นมา
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ครั้งทรงมีพระบรมราชโองการให้ปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พ.ศ.2374 นั้น ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จารึกโคลงโลกนิติลงบนแผ่นศิลา แล้วติดไว้ที่ผนัง เพื่อให้เป็นธรรมทานแก่กุลบุตร กุลธิดา และประชาชนทั่วไป ให้มีโอกาสได้อ่านและศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาเดชาดิศร (เมื่อครั้งยังทรงเป็นกรมขุนเดชดิศร) เป็นผู้รวบรวมโคลงโลกนิติของเก่า นำเอามาชำระใหม่ ให้มีสำนวนภาษาที่ประณีต ไพเราะ เพราะโคลงโลกนิติของเก่ามีถ้อยคำที่วิปลาสคลาดเคลื่อนมาก
โคลงโลกนิติที่สมเด็จพระเข้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ทรงชำระใหม่นี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 430 โคลง (ไม่นับโคลงนำเรื่อง 2 บทแรก)
ประวัติผู้แต่ง
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 15 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีพระนามเดิมว่า พระองค์ชายมั่ง พระมารดาคือเจ้าจอมมารดานิ่ม ธิดาของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ประสูติเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2336
ในรัชกาลพระบามสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ประมาณ พ.ศ.2361 ทรงได้รับการสถาปนาเป็นกรมหมื่นเดชอดิศร กำกับกรมพระอาลักษณ์
ต่อมารัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ.2375 ทรงได้รับการเลื่อนกรมเป็น กรมขุนเดชอดิศร แล้วในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้รับการเลื่อนเป็นกรมสมเด็จพระเดชาดิศร และทรงกำกับกรมนาอีกรมหนึ่ง ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ออกพระนาม กรมสมเด็จพระเดชาดิศรเสียใหม่ว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย จากพระมหากษัตริย์ทุกรัชกาล ดังจะเห็นได้จากการที่พระบามสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยกย่องสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศรว่า “เชฐมัตตัญญู” แปลว่าผู้เจริญอย่างสูงสุดที่รู้ประมาณ และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงยกย่องว่า “ทรงพระสติปัญญาสามารถ ฉลาดในโวหารอันควรแลไม่ควร และสรรพพจน์โวหารในสยามทิพากย์พิเศษต่าง ๆ หาผู้จะเสมอมิได้ในกาลบัดนี้…เป็นมหาสยามกวีชาตินักปราชญ์อันประเสริฐ” (สุปาณ๊ พัดทอง, 2553 : 75-76)
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ.2402 ขณะมีพระชนมายุได้ 67 ปี ทรงเป็นต้นราชสกุล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา
ลักษณะคำประพันธ์
โคลงโลกนิติ แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทโคลงสี่สุภาพ ซึ่งโคลงสี่สุภาพบางบท จะมีลักษณะเป็นโคลงกระทู้ คำหน้าถ้าอ่านแนวดิ่งลงมาจะได้ความหมาย และเมื่อนำกระทู้ไปเป็นต้นบาทของแต่ละบาทก็อ่านได้ความหมายเช่นกัน (บุปผา บุญทิพย์, 2558 : 188)
ตัวอย่าง
“เพื่อนกิน สิ้นทรัพย์แล้ว แหนงหนี
หาง่าย หลายหมื่นมี มากได้
เพื่อนตาย ถ่ายแทนชี- วาอาตม์
หายาก ฝากผีไข้ ยากแท้จักหา”
เนื้อเรื่อง
ส่วนของเนื้อเรื่องที่จะกล่าวถึงนี้ จะขอกล่าวถึงเฉพาะโคลงที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทย วรรณคดีวิจักษ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการคัดเลือกโคลงบทที่ 27, 57, 76, 87, 130, 185, 186, 231, 282, 312, 392, 407 และ 417 มาให้นักเรียนได้ศึกษา
โคลงบทที่ 27
“มิตรพาลอย่าคบให้ สนิทนัก
พาลใช่มิตรอย่ามัก กล่าวใกล้
ครั้นคราวเคียดคุมชัก เอาโทษ ใส่นา
รู้เหตุสิ่งใดไซร้ ส่อสิ้น กลางสนาม”
แปลความ : อย่าคลุกคลีใกล้ชิดกับเพื่อนที่เป็นคนพาลมากนัก เพราะคนพาลจะไม่มีความเป็นเพื่อน นึกเคืองเราเมื่อใดก็จะหาเรื่องเรา รู้ความลับเรื่องใดก็จะเอาเราไปเปิดเผยให้คนอื่นรู้เมื่อมีโอกาส
โคลงบทที่ 57
“รู้น้อยว่ามากรู้ เริงใจ
กลกบเกิดอยู่ใน สระจ้อย
ไป่เห็นชเลไกล กลางสมุทร
ชมว่าน้ำบ่อน้อย มากล้ำ ลึกเหลือ”
แปลความ : คนรู้น้อยแต่หลงผิดคิดว่าตนรู้มากนั้นเปรียบเสมือนกบที่อยู่ในสระเล็ก ๆ ไม่เคยพบเห็นทะเลอันกว้างใหญ่ จึงหลงสำคัญผิดคิดว่าน้ำในสระที่ตนอยู่นั้นลึกมาก
โคลงบทที่ 76
“พระสมุทรสุดลึกล้น คณนา
สายดิ่งทิ้งทอดมา หยั่งได้
เขาสูงอาจวัดวา กำหนด
จิตมนุษย์นี้ไซร้ ยากแท้ หยั่งถึง”
แปลความ : แม้มหาสมุทรจะลึกมากขนาดไหน แต่เราก็สามารถวัดได้ โดยใช้สายดิ่งทิ้งลงไปหยั่งดู หรือภูเขาจะสูงสักเพียงใดก็อาจวัดความสูงได้ แต่จิตใจของคนนั้นกลับมิอาจที่จะวัดได้ว่าเป็นอย่างไร
โคลงบทที่ 87
“รักกันอยู่ขอบฟ้า เขาเขียว
เสมออยู่หอแห่งเดียว ร่วมห้อง
ชังกันบ่แลเหลียว ตาต่อ กันนา
เหมือนขอบฟ้ามาป้อง ป่าไม้มาบัง”
แปลความ : คนที่รักกันแม้จะอยู่ไกลกันสักเพียงใด ก็รู้สึกว่าเหมือนอยู่ใกล้กัน แต่คนที่เกลียดกัน แม้เห็นอยู่ตรงหน้าก็ไม่อยากจะมองหน้ากัน ต่อให้อยู่ใกล้แค่ไหน ก็เหมือนกับว่ามีขอบฟ้ามากั้น ป่าไม้มาขวาง
โคลงบทที่ 130
“สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ ในตน
กินกัดเนื้อเหล็กจน กร่อนขร้ำ
บาปเกิดแต่ตนคน เป็นบาป
บาปย่อมทำโทษซ้ำ ใส่ผู้บาทเอง”
แปลความ : สนิมเกิดจากเนื้อเหล็ก อีกทั้งยังกัดกินเนื้อเหล็กจนผุกร่อนหมดสิ้นไป เปรียบกับบาปกรรมที่คนทำความผิด ท้ายที่สุดก็จะโดนลงโทษจากการกระทำผิดของตนเอง
ติดตามเนื้อหาเพิ่มเติมได้ เร็ว ๆ นี้…
บทความที่เกี่ยวข้อง : ข้อสอบ เรื่อง โคลงโลกนิติ ม.1